ควรนานแค่ไหนเปลี่ยนมือถือใหม่ แท้จริงผู้ผลิตได้กำหนดไว้ให้เราแล้ว

ปัจจุบันโทรศัพท์สมาร์ทโฟนกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเราที่ขาดเสียมิได้ เชื่อว่าทุกคนจะต้องมีถือไว้อย่างน้อยหนี่งเครื่อง และก็หลายคนแทบจะขาดมือถือไม่ได้เลย ถ้าไม่มีมือถือติดตัวก็จะสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แทบจะไม่เป็นอันทำอะไร แต่ใช่ว่าสมาร์ทโฟนจะคงทนถาวรอยู่กับเราได้ตลอดไป ไม่ว่าสเปคเครื่องแรงแค่ไหนก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยน แล้วนานแค่ไหนควรจะเปลี่ยนล่ะ 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี ความจริงเรื่องนี้ไม่ต้องคิดมาก เพราะผู้ผลิตได้วางแผนไว้ให้เราหมดแล้ว

ปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิกส์ส่วนใหญ่เป็นไปตามกฎของมัวร์ (Moore’s law) หรือ กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) ผู้ก่อตั้งบริษัท Intel โดยอธิบายว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวประมาณทุก ๆ 18-24 เดือน และประสิทธิภาพก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว เช่น โทรศัพท์สมาร์ทโฟนจะออกรุ่นใหม่ทุกครึ่งปี เมื่อผ่านไปหนึ่งปี โทรศัพท์ผ่านไปสองรุ่น ประสิทธิภาพก็จะแตกต่างกันอย่างมาก

เปรียบเทียบรอบการเปลี่ยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ของแต่ละยี่ห้อ

แม้ว่ากฎของมัวร์จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่การเปลี่ยนมือถือก็อยู่ที่ตัวผู้บริโภคเอง โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ด้วยเหตุผลต่อไปนี้คือ

1 โทรศัพท์หาย หรือ เสีย

2 โทรศัพท์หนืดช้า จนทนใช้งานต่อไม่ได้

3 โทรศัพท์ตามไม่ทันเทคโนโลยีปัจจุบัน เช่น ในยุค 4G แต่โทรศัพท์ยังรองรับแค่ 2G, 3G หรือขณะเดียวกัน ยุค 5G กำลังจะมาแทนที่ 4G

4 ปัจจัยตัวบุคคล เช่น คิดว่าโทรศัทฑ์ที่ใช้อยู่เก่า ดูเชย ชอบตามเทคโนโลยี หรือ มีเงิน เป็นต้น

5 ฮาร์ดแวร์เครื่องล้าสมัยจนใช้งานฟีเจอร์หรือแอปใหม่ ๆ ไม่ได้แล้ว

ไม่ว่าด้วยเหตุผลข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องใหม่

ถ้าเช่นนั้น ในสถานการณ์ทั่วไป นานแค่ไหนเราจึงควรเปลี่ยนโทรศัพท์ ความจริง ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว เช่น โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 5 พันเปลี่ยนปีละครั้ง กล่าวโดยทั่วไปแล้ว โทรศัพท์ในราคานี้ สเปคมักจะด้อยกว่ารุ่นเรือธงค่อนข้างมาก การใช้งานสักปีไม่เป็นปัญหา แต่ถ้านานแล้วนั้นแล้ว ด้วยฮาร์ดแวร์ที่รองรับได้ค่อยข้างต่ำ จึงทำให้เครื่องหนืด ช้า จนถึงขั้นค้างบ่อย ดังนั้น จึงแนะนำให้เปลี่ยนปีละครั้ง

โทรศัพท์แอนดรอยด์รุ่นเรือธง 2-3 ปีเปลี่ยนเครื่องใหม่ โดยทั่วไปแล้ว ด้วยสเปคของฮาร์ดแวร์ การใช้งาน 2-3 ปีถือว่ายังคงรองรับได้ แต่ถ้าเกินกว่านั้น แม้จะยังคงใช้งานได้ก็ตาม แต่ก็เริ่มหนืด ทำให้การใช้งานไม่ราบรื่น จึงทำให้หลายคนตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องใหม่

ส่วน iPhone นั้น โดยปกติจะสามารถใช้งานได้ 3-5 ปี และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าใช้งานได้นานกว่ารุ่นเรือธงของค่ายแอนดรอยด์ เราจึงเห็นคนจำนวนหนึ่งยังคงถือเครื่อง iPhone 4S อยู่ แต่อายุการใช้งานที่ยาวนานแม้จะดีต่อผู้บริโภค แต่ไม่เป็นผลดีต่อผู้ผลิต ดังนั้น เราจึงได้ยินข่าวในช่วง 2-3 ปีนี้ว่า ทาง Apple ก็พยายามอัปเดทตัว iOS และทำให้เครื่องรุ่นเก่าทำงานช้าลง เนื่องจากฮาร์ดแวร์ที่ไม่รองรับ จึงถือเป็นบังคับให้เปลี่ยนเครื่องในทางอ้อม

นอกจากปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังปัจจัยอีกตัวที่มักทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องใหม่คือ แบตเตอรี่ อย่างที่พวกเรารู้ ๆ กันว่า เครื่องใหม่ ๆ แบตฯมักจะใช้งานนาน ชาร์จแบตเต็มสามารถใช้งานได้หนึ่งวันเต็มอย่างไม่มีปัญหา แต่หลังจากหนึ่งปีผ่านไปแล้ว แบตฯเริ่มเสื่อมจนต้องวิ่งหาที่ชาร์จแบตแทบจะทั้งวัน หรือไม่ก็ต้องพกพาวเวอร์แบงค์ที่ดูอุ้ยอ้ายทั้ง ๆ ที่ตัวเครื่องโทรศัพท์ออกแบบมาบางเบา จึงเป็นอะไรที่ดูขัดกัน

ถ้าเป็น iPhone หรือโทรศัพท์รุ่นเรือธงอาจตัดสินใจเปลี่ยนแบตฯ เพราะเมื่อเทียบค่าแบตฯกับราคาเครื่องแล้วยังยอมรับได้ แต่ถ้าเป็นโทรศัพท์รุ่นราคาถูกก็จะไม่คุ้น จึงทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยตัดสินใจเปลื่ยนเครื่องใหม่เมื่อแบตฯเสื่อม