สหรัฐวาดฝันฮุบกิจการ Ericsson และ Nokia เพื่อขึ้นแท่นผู้นำ 5G
ในยุคที่โลกกำลังเข้าสู่เทคโนโลยี 5G นี้ สหรัฐพยายามดิ้นรนหาทางให้ตัวเองเป็นผู้นำด้านนี้ให้ได้ หลังจากที่ทำทุกวิถีทางที่จะขัดขวางหัวเหว่ยแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐได้เสนอแนวคิดในการแซกแทรงตลาดเพื่อให้สหรัฐสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำ 5G ในอนาคตให้ได้
รายงานจากวอลสตรีทเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน นี้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐเสนอความคิดให้รัฐบาลกลางเข้าแทรกแซงธุรกิจด้านโทรคมนาคมเอกชน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการแข่งขันรับมือกับหัวเหว่ย โดยแนวคิดดังกล่าวรวมถึงการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท Ericsson และ Nokia หรือไม่ก็ถึงขั้นให้บริษัท Cisco เข้าซื้อกิจการของบริษัทดังกล่าวเลย

สำหรับการซื้อกิจการบริษัทเทคโนโลยีจากยุโรปทั้งสองรายนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็เข้าใจความคิดของคนที่เสนอเช่นนั้น เพราะการลงมือพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเองมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเริ่มต้นจากศูนย์ในขณะที่คู่แข่งก้าวไปไกลแล้ว ดังนั้น ทางลัดที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดคือการเข้าซื้อกิจการที่มีเทคโนโลยีเหล่านั้นพร้อมอยู่แล้ว และนี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เสนอแนวคิดทำนองนี้ เพราะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา William Barr อัยการสูงสูงของสหรัฐก็เคยเสนอแนวคิดทำนองนี้มาก่อนแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้มีการเสนอชื่อให้ Cisco เป็นผู้ซื้อ
แต่แนวคิดนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ความจริงแล้ว เมื่อต้นปีที่แล้ว ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของทำเนียบขาว Larry Kudlow เคยปรึกษาหารือกับ Charles Robbins ซึ่งเป็น CEO ของ Cisco ถึงการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว และผู้ใกล้ชิดเปิดเผยว่า บรรยากาศการสนทนาก่อให้เกิดความรู้สึก “กระแสรักชาติ” ที่เร่าร้อน แต่ในแง่ของกระแสการซื้อกิจการนั้นกลับไม่เร่าร้อนเท่า โดย Charles Robbins ให้ความเห็นว่า แม้ว่าตนเองจะไม่อยากเห็นสหรัฐต้องล้าหลังก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินแล้ว เขาก็ไม่อยากซื้อกิจการของ Ericsson หรือ Nokia ซึ่งเป็นธุรกิจที่ให้ผลกำไรต่ำ
ส่วน Larry Kudlow ก็ยอมรับว่า กระแสการซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยียุโรปนั้นแผ่วลงไปมากตั้งแต่นั้นมา แม้สหรัฐอยากจะให้บริษัทเหล่านี้ย้ายมาตั้งฐานในสหรัฐ และรัฐบาลสามารถใช้นโยบายด้านภาษีและด้านอื่น ๆ เพื่อเป็นการจูงใจก็ตาม แต่มันก็ไม่เหมือนกับการซื้อกิจการซึ่งสามารถควบคุมได้เต็มที่

อีกมาตรการหนึ่งที่ทางเจ้าหน้าที่รัฐเสนอก็คือ นโยบาย “การเปิดกว้างด้านเครือข่าย” ซึ่งหมายความว่า เครื่องลูกข่ายของผู้ให้บริการที่แตกต่างกันสามารถใช้ข้ามเครือข่ายหรือใช้เครือข่ายร่วมกันได้ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัท AT & T ได้ตอบสนองนโยบายนี้เป็นการนำร่องไปก่อนแล้ว และกำลังรอคอยพันธมิตรเข้าร่วม
แต่ด้าน Ericsson และ Nokia กลับไม่ได้ให้ความสนใจกับแนวคิดนี้มากนัก Brian Hendricks หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ Nokia ประจำสหรัฐกล่าวว่า “บางคนอาจคิดว่า นี่จะเป็นโอกาสที่จะขยายอุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคมในสหรัฐอเมริกา…แต่สหรัฐอเมริกาได้ออกจากอุตสาหกรรมนี้มานานแล้ว ธุรกิจของ Nokia ในสหรัฐอเมริกาจะมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานในอนาคต แต่การแข่งขันย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ในขณะที่ Erik Ekudden หัวหน้าฝ่ายเทค Ericsson กล่าวว่า ทางบริษัทไม่ขอเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วย และรัฐบาลก็ไม่ควรแทรกแซงแผนการทำงานด้านเทคนิคขององค์กรเอกชนด้วย
แนวคิดการเปิดกว้างเครือข่ายที่คิดว่าจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทสตาร์ทอัพอเมริกัน แต่จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคดนโลยี 5G หลายแห่งจะมีการพัฒนาคืบหน้าไปบ้าง แต่ยังห่างไกลที่จะมีโอกาสได้รับคำสั่งซื้อในปริมาณมาก

จากรายงานของ Dell’Oro Group ชี้ว่า ปัจจุบันหัวเว่ยเป็นผู้ค้าอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 28% ของตลาดทั้งโลก และซัพพลายเออร์อเมริกันขาดศักยภาพในการแข่งขัน นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการอเมริกันที่ปฏิเสธที่จะซื้ออุปกรณ์จากจีนคงได้แต่พึ่งพาซัพพลายเออร์อย่าง Ericsson, Nokia และ Samsung เท่านั้น
แม้ว่าธุรกิจเครือข่ายไร้สายสหรัฐฯจำนวนมากจะหันเข้าหาบริษัทเหล่านี้ก็ตาม แต่สถานการณ์ของ Nokia และ Ericsson นั้นก็ไม่ใช่จะดีนัก ทั้งสองบริษัทต่างก็พยายามที่จะปรับโครงสร้างธุรกิจของตนใหม่ ในปีที่แล้ว Nokia ประกาศงดจ่ายเงินปันผล และ Ericsson ก็เพิ่งจะกลับมาทำกำไรในปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการของอเมริกาอดกังวลไม่ได้
เมื่อปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของสหรัฐหลายคนได้กล่าวในรายงานฉบับหนึ่งว่า “นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสำคัญ”