แจ๊ค หม่า กับมหาวิทยาลัยหูพ่าน อีกสัญญาณอันตรายที่กำลังถูกจัดการ

หลังจากที่แจ๊ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท อาลีบาบา ที่โด่งดังและทรงอิทธิพลของจีน ถูกองค์การบริหารและกำกับดูแลตลาดสั่งปรับ 1.82 หมื่นล้านหยวนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2021 ที่ผ่านมาอันเนื่องด้วยการละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาดและกีดกันทางการค้า ก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ผ่านไปยังไม่ทันไร ล่าสุด มหาวิทยาลัยหูพ่าน (Hupan University – 湖畔大学) หรือมหาวิทยาลัยริมทะเลสาบ (ทะเลสาบซีหูอันสวยงามและเลื่องชื่อของหางโจว บ้านเกิดของ หม่า) ก็ถูกสั่งห้ามรับสมัครนักศึกษาใหม่ และนักศึกษาปีที่ 1 ที่มีกำหนดจะเปิดเรียนปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็ถูกยกเลิกโดยไม่มีกำหนด

ภาพมุมสูงของมหาวิทยาลัยหูพ่าน (Hupan University – 湖畔大学)

ที่มาของมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยหูพ่าน (Hupan University – 湖畔大学) ก่อตั้งโดยนักธุรกิจชั้นนำของจีนรวมทั้งหมด 9 คน นอกจากหม่าแล้ว ยังมีนาย หลิ่น ฉวน จื้อ (柳传志) ผู้ก่อตั้งบริษัท Lenovo, นาย เฝิง หลุน (冯仑) ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ว่านทง (Wantong Pharmacy), นาย กัว กว่าง ชาง (郭广昌)ผู้ก่อตั้งบริษัท Fosun International เป็นต้น

ปี 2015 เปิดรับนักศึกษารุ่นแรกทั้งหมด 36 ซึ่งล้วนแต่เป็นลูกเศรษฐีและเป็นผู้บริหารในแวดวง internet network รวมทั้งดาราชั้นนำบางคน รุ่นที่สองเปิดรับในปี 2016 จำนวน 39 คน คราวนี้ขยายแวดวงธุรกิจสู่กลุ่มร้านอาหาร บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนปี 2017 ยิ่งขยายสู่วงกว้างมากขึ้น ทั้งธุรกิจอาหาร เงินทุนประกันภัย เน็ตเวิร์ค อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา การสื่อสาร พลังงานทดแทน เป็นต้น กฎเกณฑ์ในการรับนักศึกษานั้นถือว่ายากมาก ผู้ที่ผ่านการสัมภาษณ์และได้รับการเข้าศึกษามีเพียง 4.07% ของผู้สมัครทั้งหมด ซึ่งต่ำกว่าของ Harvard ที่ว่าหิน ๆ แล้วเสียอีก

เกณฑ์ในการรับสมัครที่สุดหิน

การศึกษาจะใช้เวลาสามปี โดยเสียค่าเรียน 5.8 แสนหยวน แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าใครมีเงินหรือใครอยากเรียนก็สามารถสมัครเข้ามาเรียนได้ เพราะผู้สมัครจะต้องเป็นผู้บริหารไม่น้อยกว่า 3 ปีในบริษัทที่มีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านหยวน มีพนักงานไม่น้อยกว่า 30 คน นอกจากนั้น ผู้สมัครยังต้องมี “สปอนเซอร์” 3 คนโดยเป็นสปอนเซอร์หลัก 1 คน ในสามคนนี้คนแรกจะเป็นผู้แนะนำ คนที่สองเป็นผู้รับรอง พูดง่าย ๆ คือ เป็นสายคอนเนคชั่นเพื่อกระชับวงนักธุรกิจเข้าด้วยกัน

สัญญาณอันตรายทางการเมือง

เป้าหมายของหม่าคือ ในบรรดานักธุรกิจชั้นนำ 500 บริษัทของจีนจะต้องมาจากมหาวิทยาลัยหูพ่านอย่างน้อย 200 คน นั่นเท่ากับในอนาคตเศรษฐกิจของจีนจะต้องอยู่ในกำมือของนักธุรกิจที่มาจากสำนักนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่อันตรายยิ่งต่อประเทศจีน นั่นเท่ากับว่า ในอนาคตเศรษฐกิจจีนจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคนของสำนักนี้ และลูกหลานคนรวยก็จะร่ำรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนจนก็จะจนลงทุกวัน เพราะคนจนที่ไม่มีโอกาสเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็เลิกฝันที่จะเข้าสู่ “club house” ของเศรษฐีแห่งนี้

นี่ไม่ใช่การพูดจาที่เลื่อนลอย หากมองย้อนประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์หมิง ในปี ค.ศ. 1604 มีสำนักศึกษาตงหลิน ที่ก่อตั้งโดย ตงหลิน (东林) กับ กู้ เซี่ยน เฉิง (顾宪成) เป็นแหล่งรวบรวมผู้รู้โดยชูเจตนารมณ์เรื่อง “เรียนหนังสือ บรรยาย รักชาติ” จนได้รับการตอบรับจากผู้รู้ทั่วประเทศ และเป็นที่รู้จักไปทั่ว

จากสำนักตงหลินก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็น “พรรคตงหลิน” และถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์หมิง ด้วยฉากบังหน้าของตงหลินคือ การให้การศึกษา ให้ปัญญา ทำให้ตงหลินมีอิทธิในราชสำนักโดยผ่านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในวัง ขณะเดียวกันก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพ่อค้าอย่างกว้างขวาง และพรรคตงหลินได้กลายเป็นตัวแทนหรือแบบอย่างของเหล่าบรรดาพ่อค้า ข้าราชการนักการเมือง เจ้าของที่ดิน ทำให้ตงหลินมีทั้งอำนาจ เงินทอง อยากได้กำลังคนก็ได้กำลังคน อยากได้เงินทองก็ได้เงินทอง หรือเรียกลมได้ลม

พวกเขารณรงค์ให้พ่อค้าไม่ต้องเสียภาษี โดยชูประเด็นว่า “คงความมั่งคั่งไว้กับประชาชน”  จนในที่สุดคลังหลวงว่างเปล่า ทำให้พวกแมนจูเลียเข้ารุกราน และจักรพรรดิฉงเจิ้น (崇祯) รบแพ้แมนจูอย่างราบคาบ เพราะไม่มีอะไรที่จะไปรบ ในขณะที่พ่อค้าคบค้ากับข้าราชการทำมาค้าขายกับชาวแมนจู ขายทั้งดินปืน ยุทธปัจจัย จนกำลังทหารของแมนจูเข้มแข็ง กองกำลังทหารของจักรพรรดิไม่มีอะไรจะได้สู้รบปรบมือ ได้แต่มองตาปริบ ๆ ปล่อยให้พวกแมนจูเข้าเมือง แล้วในที่สุดราชวงศ์หมิงก็ล่มสลาย

ชื่อ “มหาวิทยาลัย” ที่กำลังถูกรื้อออก

จึงไม่ต้องสงสัยว่า มหาวิทยาลัยหูพ่าน (Hupan University – 湖畔大学) ก็คือสถานที่ที่ให้การศึกษา ที่ล้วนเป็นผู้ประกอบการภาคเอกชนที่มีความมั่งคั่งทั้งด้านทรัพยากรและอิทธิพลทางสังคมและกุมทรัพยากรทางเศรษฐกิจ่ของจีนเป็นส่วนใหญ่ และเบื้องหลังของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ยังมีเครือข่ายอำนาจและผลประโยชน์ที่ซับซ้อนโยงใยกัน

การถูกสั่งห้ามรับนักศึกษาครั้งนี้เป็นเพราะว่าการจดทะเบียนธุรกิจของทางบริษัทไม่ได้จดทะเบียนเป็นสถาบันศึกษา และป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด จึงไม่ให้ใช้คำว่า “มหาวิทยาลัย” และเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์วิจัยสร้างอาชีพหูพ่าน” แทน ส่วนแจ๊ค หม่าเองก็คงจะต้องลาออกจากประธานของมหาวิทยาลัยเช่นกัน