NASA หันมาขอความร่วมมือจีนหลังกีดกันร่วมสิบปี
เมื่อ 10 ที่แล้ว รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฎข้อบังคับที่เรียกว่า “Wolf Clause” เพื่อกีดกันจีนไม่ให้เข้าร่วมโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นั่นเท่ากับว่า ประเทศจีนจะไม่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการวิจัยใด ๆ ที่สถานีอวกาศนานาชาติตลอดไป และถึงวันที่ 23 มิถุนายน กฎข้อห้ามนี้ก็ครบสิบปีพอดี แต่สิบปีที่ผ่านมา จีนไม่เพียงแต่ไม่ล้มลง กลับพัฒนาเทคโนโลยีทางาอวกาศจนไล่หลังสหรัฐฯมาติด ๆ และผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกคือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จีนได้สร้างสถานีอวกาศเทียนเหอของตัวเอง ทำให้ NASA เริ่มรู้สึกนั่งไม่ติด
Bill Nelson ผู้บริหาร NASA กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีอวกาศของจีนมีความก้าวหน้าไปมาก จีนกลายเป็นประเทศที่สองในโลกที่ได้ส่งยานสำรวจลงพื้นผิวดาวอังคารสำเร็จ แต่เขาก็ไม่วายถือโอกาสวิพากวิจารณ์จีนว่า ข้อมูลและเทคโนโลยีเกี่ยวกับอวกาศของจีนยังไม่ “เปิดกว้าง” และ “โปร่งใส” เพียงพอ
กฎข้อห้าม “Wolf Clause” ที่รัฐสภาสหรัฐฯผ่านเมื่อปี 2011 นั้น กำหนดไม่ให้ NASA ทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่จีนโดยเด็ดขาด และมักจะอาศัยข้อห้ามนี้มาบิดเบือนเป็นการ”ต่อต้านการโจรกรรม” จึงเท่ากับว่า ความร่วมมือระหว่างจีนกับสหรัฐฯในด้านอวกาศเป็นไปไม่ได้เลย แต่มาตรการอันอัปยศนี้สหรัฐฯกลับไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมันมากนัก เพราะสิบปีที่ผ่านมา จีนได้สร้างระบบดาวเทียมเป๋ยโต่ว (北斗)เครือข่าวดาวเทียมบอกพิกัดที่มีความละเอียดและแม่นยำกว่า GPS ของสหรัฐฯ สถานีอวกาศเทียนกง (天宫) ที่กำลังก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้ ส่งยานสำรวจดวงใจไปสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ซี่งเป็นครั้งแรกของโลก และการส่งยานสำรวจลงพื้นผิวดาวอังคาร
ทาง NASA ได้ติดต่อมายังจีนหลายครั้งเพื่อขอให้ทางจีนแบ่งปันข้อมูลที่ได้จากยานสำรวจดาวอังคารของจีน แต่จุดยืนของจีนค่อนข้างชัดเจน คือ ทางสหรัฐฯจะต้องมอบข้อมูลที่เกี่ยวข้อให้กับทางจีนก่อน จีนจึงจะมอบข้อมูลให้ในระดับที่เท่าเทียมกัน ในที่สุดทางสหรัฐฯก็ต้องยอมตามที่จีนขอ
การกระทำครั้งนี้ของ NASA เป็นเรื่องที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้ โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับจีน เพราะสหรัฐฯไม่อยากเห็นจีนเข้มแข็งขึ้นมา เพราะหากจีนผงาดขึ้นมาแล้ว ความเป็น”มหาอำนาจโลก” ของสหรัฐฯก็จะสั่นคลอนและถูกคุกคาม แท้ที่จริงแล้ว ความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯกำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ