ผู้อยู่เบื้องหลังการ’เนรมิต’เศษเหล็กลอยน้ำเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง

ในช่วงสงครามเย็น สหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาต่างแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจโลก สหภาพโซเวียตได้ทุ่มเทงบประมาณอย่างไม่ยั้งมือในการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน ด้วยการแข่งขันด้านอาวุธอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้สหภาพโซเวียตต้องล่มสลายในที่สุด และล่มสลายก่อนที่เรือบรรทุกเครื่องบินที่มีนามว่า Varyag จะสร้างเสร็จ

เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิงหลังประจำการกองทัพเรือจีน

หลังสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว ประเทศก็แตะแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย ส่วนเรือบรรทุกเครื่องบิน Varyag ที่กำลังสร้างอยู่นั้นแทนที่จะตกอยู่ในมือของรัสเซียซึ่งก็คงจะสร้างต่อจนเสร็จ แต่ดันไปอยู่ในกำมือของประเทศยูเครน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เศรษฐกิจของยูเครนนั้นย่ำแย่ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยูเครนถึงกับเป็นศูนย์กลางของประเทศที่ ‘รับจ้างตั้งท้อง’ เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ดังนั้น การสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจึงเลิกคิดไปได้เลย

ปี 1997 ยูเครนได้ประกาศขาย Varyag และมีหลายประเทศต่างให้ความสนใจที่จะขอซื้อ แต่ยูเครนมีเงื่อนไขว่า จะขายให้เฉพาะเอกชนเท่านั้น เพราะเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าประเทศใดได้ไปแล้วนอกจากสามารถเสริมความมั่นคงให้กับประเทศชาติแล้ว ยังทำให้ประเทศนั้น ๆ มีอำนาจในเวทีโลกสูงขึ้นด้วย

กองทัพเรือมอบเรือเหลียวหนิงจำลองให้แก่ สวีเจิงผิง (徐增平)

ในขณะนั้น มีพ่อค้าจีนนามว่า สวีเจิงผิง (徐增平) ได้ทราบข่าวนี้ จึงตัดสินใจทันทีว่าจะต้องขอซื้อให้ได้ เพราะหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว สหรัฐฯกลายเป็นมหาอำนาจโลกที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้ ยิ่งประเทศจีนแล้วไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะรับมือสหรัฐฯได้เลย แต่ถ้ามีเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นของตัวเองก็คงจะดี นั่นคือความคิดของสวีเจิงผิง (徐增平) ในขณะนั้น

สวีเจิงผิง (徐增平) เป็นพ่อค้าจีนเกิดในปี 1952 ที่ซานตง และเคยเข้าเป็นทหารประจำการของกองทัพปลดแอกประชาชนถึง 14 ปี ด้วยมณฑลซานตงคือบ้านเกิดของขงจื่อดังนั้นเรื่องการรู้คุณชาติตามคำสอนของขงจื่อจึงอยู่ในสายเลือดยิ่งประกอบกับเคยเป็นทหารมาด้วย หลังจากปลดประจำการแล้ว เขาจึงใช้มันสมองและความสามารถมาทำธุรกิจที่ฮ่องกง และธุรกิจของก็เติบโตจนร่ำรวย เขาจึงคิดว่าน่าจะทำอะไรเป็นการตอบแทนมาตุภูมิตัวเองบ้าง

สวีเจิงผิง (徐增平) ในสำนักงานของบริษัทต่อเรือ Varyag พร้อมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลยูเครน

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาและเป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐบาลยูเครน เขาจึงได้จดทะเบียนบริษัททำด้านเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและบันเทิงโดยใช้เป็นเหตุผลในการซื้อ Varyag ว่าเพื่อนำมาดัดแปลงเป็นบ่อนคาสิโนลอยน้ำ

จากนั้น เขาก็เดินทางไปพบผู้จัดการอู่ต่อเรือเพื่อทำการเจรจาด้วยตัวเอง หลังจากเจรจาแล้ว ทางฝ่ายยูเครนเรียกราคา 20 ล้านดอลลาร์ ห้ามต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น สวีเจิงผิง (徐增平) ตกปากรับคำทันทีโดยไม่ลังเล แม้ว่าเงิน 20 ล้านดอลลาร์ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ สำหรับเขา แต่เพื่อให้ประเทศชาติมีเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเอง ยังไงก็คุ้ม ในขณะที่กำลังดีใจนั้น เกิดมีปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาทันที เพราะอเมริกาเข้ามาแทรกแซง!!! ไม่ใช่เพราะอเมริกาต้องการได้เรือลำนี้ หากแต่อเมริกาไม่ต้องการให้จีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเอง

ซากเรือ Varyag ขณะถูกลากผ่านทะเลดำ

แน่นอนว่าสวีเจิงผิง (徐增平) อาจปิดบังรัฐบาลยูเครนได้ แต่ย่อมไม่สามารถรอดพ้นสายตาพญาอินทรีย์อย่างสหรัฐฯได้ง่าย ๆ เมื่อยูเครนถูกสหรัฐฯเข้ามาขัดขวางเช่นนี้ ฝ่ายยูเครนจึงต้องบอกสวีเจิงผิง (徐增平) ว่าดีลนี้ขอยกเลิก แต่จะขายโดยการเปิดประมูลอีกที

แต่แล้ว’คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต’ Varyag ถือว่ามีความสำคัญมากทางด้านการทหารสำหรับประเทศหนึ่ง แต่การควักเงินส่วนตัว 20 ล้านดอลลาร์ถือเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มยิ่ง ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะได้ทุนคืนเมื่อไหร่ หรือหากประเทศใดจะฝากเอกชนเข้าซื้อในนามส่วนตัวก็ตาม ก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถดัดแปลงต่อเติมจนใช้งานได้จริง และในการประมูลครั้งนี้ ไม่มีใครกล้าออกราคาสูงเท่ากับสวีเจิงผิง (徐增平) เท่ากับว่าเรือลำนี้ตกเป็นของจีน

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนอีก สวีเจิงผิง (徐增平) จึงสั่งให้รีบลากเรือ Varyag กลับประเทศโดยเร็ว แต่ก็ยังไม่วายถูกอเมริกาเข้ามาแทรกแซงอีก แต่คราวนี้ใช้ให้ตุรกีออกหน้าแทน คือทางตุรกีเข้าอายัดเรือไว้ขณะที่กำลังผ่านน่านน้ำของตุรกี เรื่องนี้รัฐบาลจีนไม่อาจออกหน้าแทนได้เพราะเรือซื้อในนามส่วนบุคคล ไม่ว่าสวีเจิงผิง (徐增平) เจรจาอย่างไรทางตุรกีก็ไม่ยอมปล่อยเรือ สุดท้ายจึงต้องยอมทำตามข้อเรียกร้อง คือ จ่าย ‘ค่าธรรมเนียม’ ต่าง ๆ ตามที่เรียกร้อง

สวีเจิงผิง (徐增平) พร้อมครอบครัวได้รับเกียรติจากกองทัพเรือจีนให้ขึ้นชมเรือเหลียวหนิง

วันที่ 4 มีนาคม 2002 เรือ Varyag ก็ถูกลากเข้าอู่ต้าเหลียนของจีนสำเร็จ แต่ปัญหาคือ ตอนที่ตกลงซื้อขายนั้นเขาเคยรับปากว่าเรือลำนี้จะนำมาใช้ในทางการค้าเท่านั้น แต่ตอนนี้กำลังจะมอบให้แก่กองทัพเรือ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลง

ขณะเดียวกัน เพื่อให้สามารถซื้อเรือลำนี้สำเร็จ เขาจึงทุ่มสุดตัวจนแทบจะเรียกว่าหมดตัว ทำให้การเงินของธุรกิจต้องเผชิญกับวิกฤตอย่างร้ายแรง หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว สวีเจิงผิง (徐增平) จึงตัดสินใจเข้าสู่การล้มละลายหลังจากเรือถึงอู่ต้าเหลียนแล้วเพียงสองวัน

เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง

หลังจากที่มอบเรือลำนี้ให้กับกองทัพแล้ว ก็เป็นไปอย่างที่พวกเราทราบกันคือ ทางการจีนได้ทำการซ๋อมสร้างจนสำเร็จ และกลายเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน และได้ชื่อใหม่ว่า เหลียวหนิง (辽宁号)การที่สามารถดำเนินการซ่อมสร้างได้อย่างราบรื่นนั้น ต้องยกความดีให้กับสวีเจิงผิง (徐增平) ที่คิดอย่างรอบคอบโดยขณะที่เจรจากับทางยูเครนนั้น เขายอมทุกอย่างเพื่อขอซื้อพิมพ์เขียวมาพร้อมเรือ เพราะถ้าหากไม่มีพิมพ์เขียวคงยากที่สร้างสำเร็จ ดังนั้น จากราคาเดิมที่เจรจาไว้ 18 ล้านดอลลาร์ ทางยูเครนจึงขอเพิ่มเป็น 20 ล้านพร้อมกับพิมพ์เขียว

อดีตประธานเหมาเจ๋อตงเคยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำเรื่องการเมืองและการทหารมาตลอดทั้งชีวิต สิ่งที่รู้สึกเสียใจคือจนวันนี้ยังไม่เห็นประเทศจีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินของตนเองสักลำ”