จีนพยายามสอนวิชาเศรษฐศาสตร์แก่ Trump

ถ้าคุณต้องการที่จะเข้าใจการพัฒนาของสงครามการค้าจีนกับสหรัฐนั้น สิ่งแรกที่คุณจะต้องรับรู้คือ การกระทำของ Trump นั้นไม่มีเรื่องไหนที่เข้าท่าเลย ทัศนะของ Trump เกี่ยวกับเรื่องการค้าสะเปะสะปะไม่เป็นไปทิศทางเดียวกัน ความต้องการของเขาเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก และเขาประเมินค่าความสามารถตัวเองที่จะสร้างความเสียหายแก่จีนสูงเกินไป ขณะเดียวกันก็ประเมินค่าจีนต่ำเกินไปในอันที่จีนจะสร้างความเสียหายแก่สหรัฐ

จีนสั่งสอนวิชาเศรษฐศาสตร์แก่ทรัมป์
ภาพแคปเจอต์หน้าจอจากเว็บไซต์ New York Times

เรื่องที่สองที่คุณจะต้องรับรู้คือ การตอบโต้ของจีนค่อนข้างสุขุมลุ่มลึก มีรุกมีรับ อย่างน้อยก็พิจารณาจากสถานการณ์ดังที่เป็นอยู่ว่าเป็นเช่นนั้น สหรัฐได้ดำเนินมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแทบจะทุกตัวจากจีน ด้วยอัตราภาษีที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลจีนแทบจะยังไม่ได้งัดเอามาตรการซึ่งมีเครื่องมือที่จะนำมาใช้ได้มากมาย ออกมาตอบโต้กับการกระทำของ Trump หรือทำลายฐานเสียงทางการเมืองของ Trump เลย

ทำไมรัฐบาลจีนจึงไม่งัดเอาเครื่องมือทั้งหมดออกตอบโต้ ดูเหมือนว่าจีนพยายามที่จะสอนบทเรียนด้านเศรษฐศ่าสตร์ให้แก่ Trump สิ่งที่รัฐบาลส่งสัญญาณผ่านการกระทำก็คือ คุณคิดว่าคุณสามารถรังแกเราได้ แท้จริงแล้วไม่มีทาง ในทางกลับกัน เราเสียอีกที่จะสามารถทำลายเกษตรกรของคุณ ตลาดหลักทรัพย์ของคุณ แล้วคุณจะไม่ลองทบทวนซะใหม่หรือ”

แต่ดูเหมือนว่า Trump ไม่เข้าใจสัญญาณที่จีนส่งออกมานี้เลย ในทางากลับกัน ทุกครั้งที่จีนหยุดเพื่อให้ Trump ได้มีโอกาสคิดทบทวน Trump กลับคิดว่านี่คือชัยชนะของตนและทำการรุกหนักยิ่งขึ้น  แต่ตรงกันข้าม สัญญาณเตือนนี้จะต้องกลายเป็นสงครามการค้าและสงครามเงินตราอย่างเต็มรูปแบบไม่ช้าก็เร็ว

เกี่ยวกับทัศนะของ Trump ต่อการค้าที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนั้นมีปรากฎให้เห็นแทบทุกวัน และการ tweet ล่าสุดคือหนึ่งในหลักฐานที่ชัดเจน คงจำกันได้ Trump บ่นอยู่ตลอดเวลาว่าค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งทำให้อเมริกาต้องเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เขาให้กระทรวงการคลังประกาศว่าประเทศจีนเป็นผู้ปั่นค่าเงิน ซึ่งถ้าเป็นเมื่อ 7-8 ปีก่อนเราคงปฏิเสธไม่ได้ แต่ขณะนี้ไม่ใช่ คล้อยหลังในวันรุ่งขึ้นเขาก็กระดี๊กระด๊า tweet อย่างกับผู้ชนะว่า “เงินจำนวนมหาศาลกำลังหลั่งไหลจากจีนปละส่วนอื่น ๆ ของโลกเข้ามาสหรัฐ” ซึ่งเขาประกาศว่า “เป็นสิ่งที่น่าดูชมยิ่ง”

เออ..แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อ “เงินจำนวนมหาศาล” กำลังหลั่งไหลเข้ามาประเทศของคุณล่ะ ค่าเงินคุณก็จะสูงขึ้นสิ แล้วตกลง Trump กำลังบ่นเรื่องอะไรกันแน่ เพราะเพิ่งบ่นหยกๆว่าค่าเงินดอลลาร์แข็งไป และถ้าเงินจำนวนมหาศาลกำลังไหลออกจากจีน ค่าเงินหยวนก็จะอ่อน ไม่ใช่อ่อนตัวแค่เล็กน้อย (2 เปอร์เซ็นต์) ดังที่กระทรวงการคลังกล่าวหา

หากแม้ Trump จะไร้เหตุผลก็ตาม แล้วจีนจะยังคงยอมทำตามสิ่งทิ่ Trump ต้องการหรือไม่ คำตอบสั้น ๆ คือ “ต้องดูว่าต้องการอะไร” ดูเหมือน Trump จะพุ่งเป้าไปที่การขาดดุลทางการค้าที่มีกับจีน ซึ่งมีหลากหลายสาเหตุและในความเป็นจริงแล้วไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน

ส่วนคนอื่น ๆ ในคณะรัฐาบาลของ Trump นั้นดูเหมือนจะกังวลเรื่องจีนกำลังผลักดันเพื่อให้ประเทศมุ่งสู่อุตสาหกรรมไฮเทคซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นผู้นำด้านนี้ของสหรัฐอย่างแท้จริง แต่เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว จีนกลับเป็นทั้งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่ค่อนข้างยากจน มันจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่าประเทศที่อยู่ภายใต้การคุกคามเช่นนี้จะยอมลดความทะเยอทะยานมุ่งสูงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

ทีนี้นำมาสู่คำถามที่ว่า หากตกอยุ่สถานการณ์เช่นนี้ อเมริกาจะมีอำนาจแค่ไหน แน่นอนว่า อเมริกาเป็นตลาดหลักสำหรับสินค้าจีน ในทางกลับกันจีนซื้อจากอเมริกาค่อนข้างน้อย ดังนั้น ผลกระทบโดยตรงจากสงครามภาษีนำเข้าจีงส่งผลกระทบต่อจีนมากกว่า แต่สิ่งสำคัญคือมีเรื่องขนาดเศรษฐกิจมาเกี่ยวข้อง ประเทศจีนไม่เหมือนกับเม็กซิโก ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐในการส่งออกถึง 80% แต่เศรษฐกิจจีนเมื่อเทียบกับประเทศเล็กแล้วพึ่งพาด้านการส่งออกน้อยกว่ามาก และการส่งออกไปยังอเมริกามีไม่ถึง 1/5 ของมูลค่าส่งออกรวม

ดังนั้น มาตรการด้านภาษีของ Trump นั้น ย่อมจะต้องส่งผลกระทบต่อรัฐบาลจีนอย่างแน่นอน แต่รัฐบาลปักกิ่งก็รับมือได้ค่อนข้างดี จีนสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศด้วยนโยบายการเงินและการคลัง สามารถเพิ่มการส่งออกไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกที่มีขนาดตลาดใหญ่พอ ๆ กับอเมริกาโดยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนตัว

ขณะเดียวกัน จีนก็สามารถบรรเทาผลกระทบของตัวเองด้วยการซื้อถั่วเหลืองจากที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นการย้อนทำร้ายเกษตรกรอเมริกันเอง ดังที่เราได้เห็นในสัปดาห์นี้ แม้การอ่อนค่าของเงินหยวนซึ่งส่วนใหญ่เป็นอ่อนค่าในเชิงสัญลักษณ์ก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างระเนระนาดถึง 700 กว่าจุด

และความสามารถในการรับมือของอเมริกากับความเคลื่อนไหวนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากด้วยปัจจันทางเทคนิคและทางการเมือง ธนาคารกลางสหรัฐสามารถที่จะลดอัตราดอกเบี้ยได้ แต่ไม่สามารถลดได้มากเนื่องจากปัจจุบันมันก็ต่ำอยู่แล้ว เราอาจกระตุ้นด้วยนโยบายทางการคลัง แต่ได้ทำผ่านการลดภาษี plutocrat-friendly tax ในปี 2017  

แล้วนานาชาติที่ร่วมกับสหรัฐในการตอบโต้กรณีพิพาทนี้ล่ะ ดูเหมือนจะไม่มีเลย นั่นเป็นเพราะสองสาเหตุคือ มันไม่ชัดเจนว่า Trump ต้องการอะไรจากจีนกันแน่ และเนื่องจากความดื้อรั้นของ Trump เอง (ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเหยียดผิวของเขา) ที่ทำให้อเมริกาต้องถูกโดดเดียวโดยแทบจะไม่มีประเทศไหนยินดีที่จะยืนอยู่ข้างอเมริกาในการพิพาทระดับโลก

ดังนั้น Trump จึงอยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่าที่เขาคิดเสียอีก และผมคาดเดาว่า การที่จีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนตัวลงบ้างนั้น เป็นความพยายามที่จะใช้ความจริงนั้นมาสอนบทเรียนให้แก่Trump แต่ผมสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า Trump ได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้บ้างหรือไม่ คณะรัฐบาลของเขาได้ทำให้ผู้ที่มีความรู้เศรษฐศาสตร์ต้องหนีจากไปเหมือนเลือดไหลไม่หยุด และรายงานระบุว่า Trump ไม่แม้แต่สนใจว่าใครจะจากไป

ดังนั้น ข้อพิพาททางการค้าอาจต้องเลวร้ายกว่านี้ก่อนที่มันจะดีขึ้น

แปลและเรียบเรียงจากบทความของ Paul Krugman ใน New York Times

Paul Krugman เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2551 และเป็นคอลัมนิสต์ของ New York Times